สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 14 ธันวาคม 2560

ข่าว

สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 14 ธันวาคม 2560

14 ธันวาคม 2560
 

• ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในตลาดเอเชียเช้านี้ หลังจากทีเฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคาดพร้อมคงคาดการณ์จำนวนการขึ้นดอกเบี้ยปีหน้า ขณะทีค่าเงินปรับแข็งค่าขึ้น 0.2% ที่ระดับ 112.76 เยน/ดอลลาร์ จากระดับอ่อนค่าเมื่อคืนนี้บริเวณ 113.75 เยน/ดอลลาร์

ทางด้านค่าเงินยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 0.1% ที่ระดับ 1.1830 ดอลลาร์/ยูโร ขณะทีเช้านี้ดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงมา 93.358 จุด

• สรุปผลการประชุมเฟดเมื่อคืนนี้ที่เฟดตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยตามคาดสู่กรอบ 1.25 – 1.50% พร้อมคงคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยปีหน้าจำนวน 3 ครั้งเช่นเดียวกับในปี 2019 ก่อนที่เป้าหมายดอกเบี้ยระยะยาวจะแตะ 2.8% โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงคาดการณ์ใดๆจากเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา และมองว่าการตัดสนใจเกี่ยวกับแผนปฏิรูปภาษีฉบับยกเครื่องจะช่วยหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้าได้ ซึ่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจล่าสุดนั้นไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวใดๆ ขณะที่ระยะยาวคาดเศรษฐกิจมีโอกาสขยายตัวได้ 1.8% สวนทางกับทางทำเนียบขาวที่มองว่า แผนภาษีจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 3 – 4%

อย่างไรก็ดี ในคาดการณ์ฉบับใหม่ของเฟด แสดงให้เห็นว่า บรรดาสมาชิกเฟดคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 2.5% โดยปรับทบทวนขึ้นจากระดับ 2.1% ของคาดการณ์ฉบับก่อน แต่การขยายตัวดังกล่าวอ่านอ่อนแรงลงกลับลงมาแถว 2% ในปี 2020 ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของนายทรัมป์และทีมบริหารแต่อย่างใด

• นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดคนปัจจุบัน มีการกล่าวถึงเรื่อง Bitcoin โดยสรุปแล้ว Bitcoin นั้นยังไม่มีมูลค่าทีมีเสถียรภาพ แต่เป็นสินทรัพย์ที่มีแรงเก็งกำไรสูงขึ้น ซึ่งเฟดไม่มีแนวทางการดำเนินการหรือกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆของ Bitcoin ในขณะนี้

• รายงานจากรอยเตอร์ส ชี้ว่า บรรดาสถาบันการเงินชั้นนำในสหรัฐฯ คาดว่าเฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้จำนวน 3 ครั้งในปีหน้า สอดคล้องกับแนวโน้มคาดการณ์ของเฟด ท่ามกลางเจ้าหน้าที่เฟดที่กลับมาเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ พร้อมทั้งการขยายตัวที่ดีของตลาดแรงงาน

นอกจากนี้ ในผลสำรวจส่วนใหญ่ ยังมองว่า การเข้ามารับหน้าที่ของนายเจอโรม โพเวลล์ ว่าที่ประธานเฟดคนต่อไปในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯมีการขยายตัวได้ดี ก็ถูกคาดว่าจะดำเนินนโยบายค่อยเป็นค่อยไปเช่นเดียวกับนางเยลเลนในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการปรับลดยอดงบดุลจำนวน 4.5 ล้านล้านเหรียญ

• ธนาคารกลางฮ่องกงประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.25% สู่ระดับ 1.75% เมื่อคืนที่ผ่านมา

• พรรครีพับลิกันแห่งสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับร่างนโยบายภาษีได้อย่างเป็นเอกฉันท์แล้ว เมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งร่างนโยบายนี้จะถูกนำไปลงมติในสภาคองเกรสเป็นครั้งสุดท้ายภายในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ดี ร่างนโยบายฉบับนี้จะปรับลดระดับภาษีนิติบุคคลจาก 35% ลงสู่ระดับ 21% จากเดิมที่สัญญาไว้ที่ 20%

• ประธานคณะกรรมาธิการจัดสรรด้านงบประมาณของสหรัฐฯ เผยว่า ร่างกฎหมายงบประมาณของรัฐบาลจะมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 19 ม.ค.นี้ ขณะเดียวกันทางภาคองเกรสก็กำลังร่วมกันดำเนินการเพื่อจัดทำร่างกฎหมายสำหรับระยะยาว โดยร่างกฎหมายฉบับสมบูรณ์ของปีงบประมาณ 2018 จะประกอบไปด้วยโครงการเงินประกันสุขภาพสำหรับเด็ก

• รายงานจาก Reuter ระบุว่า นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประสบความล้มเหลวในการผลักดันร่างนโยบาย Brexit ในการลงติภายในรัฐสภาเมื่อคืนนี้ ด้วยคะแนนเสียง 309 ต่อ 305 ส่งผลให้บรรดา ส.ส. พรรคอนุรักษ์นิยมของนางเมย์ ต้องนำร่างนโยบายดังกล่าวไปปรับปรุงใหม่อีกครั้งถึงจะทำการลงมติใหม่ได้

อย่างไรก็ดี ทางสหภาพยุโรปได้ออกมากล่าวว่า พวกเขาต้องการให้อังกฤษเร่งหาร่างนโยบายที่จะใช้ภายหลังการ Brexit อย่างเป็นเอกฉันท์ เพื่อที่จะช่วยให้การดำเนินงานถอนอังกฤษออกจากสหภาพ เป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด

• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงติดต่อกัน 2 วันทำการ จากการร่วงลงของสต็อกน้ามันดิบสหรัฐฯที่ช่วยชดเชยสต็อกแก๊สโซลีนที่เพิ่มขึ้นเกินคาด ประกอบกับปริมาณการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯที่ยังคงปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลดลง 54 เซนต์ หรือคิดเป็น -1% ที่ระดับ 56.6 เหรียญ ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิด -1.4% หรือลดลง 90 เซนต์ ที่ระดับ 62.44 เหรียญ

บริษัท เอ็มทีเอส แคปปิตอล จำกัด
10,12,14 ชั้น 3 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
Copyright © 2014 MTS Capital Co., Ltd. All right reserved