สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 23 กรกฎาคม 2562

ข่าว

สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 23 กรกฎาคม 2562

23 กรกฎาคม 2562

  


· ค่าเงินปอนด์อังกฤษเคลื่อนไหวในแดนลบ ท่ามกลางความกังวลว่าว่าที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษจะชักนำมาซึ่งภาวะ Hard Brexit ที่เป้นความเสี่ยงต่อภาวะเศณษฐกิจของอังกฤษครั้งใหญ่ ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ ท่ามกลางกนะแสคาดการณ์ที่ขยายตัวขึ้น เกี่ยวกับโอกาสที่อีซีบีจะส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. ระหว่างการประชุมสัปดาห์นี้ เพื่อหนุนให้อัตราเงินเฟ้อยูโรโซนขยายตัวได้ตามเป้า

· ค่าเงินยูโรอ่อนค่าทำระดับต่ำสุดที่ 1.1191 ดอลลาร์/ยูโร ท่ามกลางนักลงทุนที่ยังเฝ้ารอการประชุมอีซีบีวันพฤหัสบดีนี้ โดยตลาดคาดการณ์โอกาส 43% ที่อีซีบีจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.10% สู่ระดับ -0.5% เพื่อช่วยหนุนเศรษฐกิจยูโรโซนที่กำลังชะลอตัว


· ขณะที่แบบสำรวจโดย Reuters คาดว่า อีซีบีจะส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายในการประชุมครั้งนี้ ส่วนการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินจะเกิดขึ้นจริงในเดือน ก.ย.

· ด้านค่าเงินดอลลาร์ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินเยนแถว 108.14 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าเล็กน้อยแถว 97.435 จุด



· กระแสคาดการณ์ว่าอีซีบีและเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ ช่วยหนุนให้ตลฃาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นได้ ในขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงเนื่องจากกรณีที่นายบอริส จอห์นสัน อาจได้รับการประกาศชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนต่อไป ซึ่งเขาอาจผลักดันให้อังกฤษถอนตัวออกจากอียูแบบ No-deal ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.2% แถว 1.2449 ดอลลาร์/ปอนด์ และเป็นการเคลื่อนไหวในแดนลบติดต่อกัน 3 วันทำการ




· นักวิเคราะห์ FXStreet ระบุว่า ค่าเงินยูโรร่วงลงหลุดต่ำกว่า 1.12 ดอลลาร์/ยูโรในตลาดเอเชียและมีโอกาสร่วงลงต่อในช่วงเปิดตลาดยุโรปได้ ท่ามกลางสัญญาณผ่อนคลายทางการเงินของอีซีบี และการอ่อนตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนี

ในทางเทคนิค ค่าเงินยูโรหลังจากดิ่งลงไปต่ำกว่า 1.12 ดอลลาร์/ยูโร ก็ดูเหมือนจะผันผวนไปในทิศทางอ่อนค่าต่อ และอาจมีแรงเทขายตามมากดดันให้หลุด 1.1180 ดอลลาร์/ยูโรได้ และจะยิ่งทำให้ภาพการลงทุนเป็นทิศทางอ่อนค่า รวมทั้งมีโอกาสกลับลงไป 1.1130 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นแถวระดับต่ำสุดของปี หรือลงไปใกล้ 1.1100 ดอลลาร์/ยูโรได้

ในทางกลับกันหากค่าเงินยูโรกลับเหนือ 1.1210 - 1.1220 ดอลลาร์/ยูโรซึ่งเป็นระดับแนวต้านในเวลานี้ได้ ก็มีโอกาสกลับขึ้นทดสอบ 1.1250 - 1.1255 ดอลลาร์/ยูโร รวมทั้งมีโอกาสกลับทดสอบ 1.1280 - 1.1285 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งหากฝ่าไปได้จะบดบังทิศทางขาลงและกลับมาแข็งค่ามีโอกาสแตะแนว 1.1330 - 1.1340 ดอลลาร์/ยูโรได้



· กรณีความขัดแย้งทางการค้าระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่เกิดจากการที่ญี่ปุ่นจำกัดการส่งออกสารเคมี 3 ประเภทที่ใช้ในการผลิตหน้าจอแสดงผลและเซมิคอนดักเตอร์ไปยังเกาหลีใต้ อาจส่งผลกระทบให้ราคาโทรศัพท์มือถือปรับสูงขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ผลิตรายใหญ่ของเกาหลีใต้อย่าง Samsung และ SK Hynix ที่อาจดำเนินกระบวนการผลิตไม่ทันเป้าหมายที่กำหนดไว้ และผลกระทบครั้งนี้ อาจต่อเนื่องไปยังผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายอื่นๆ อย่าง Apple และ Huawei ด้วยเช่นกัน

· รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมจีน ระบุว่า ภาคอุตสาหกรรมจีนยังสามารถขยายกำลังการผลิตถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้สำหรับปี 2019 ได้ แต่อาจต้องใช้ “ความพยายามอย่างหนัก” ท่ามกลางภาคส่งออกที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากการกีดกันทางการค้า และกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม

ทั้งนี้ เป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าไว้สำหรับปี 2019 อยู่ที่ระหว่าง 6 – 6.5% ซึ่งยังมีโอกาสขยายตัวได้ตามเป้าหมาย หากรัฐบาลยังมีการออกมาตรการมาช่วยหนุนเศรษฐกิจอยู่เรื่อยๆ ขณะที่อัตราการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในประเทศปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปีที่ 5.0% เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นมาที่ 6.3% ในเดือน มิ.ย.

· กองทัพเกาหลีใต้มีการยิงเตือนอากาศยานทางทหารของรัสเซียที่ล่วงล้ำเข้ามายังน่านฟ้าของเกาหลีใต้หลายร้อยนัด ซึ่งรายงานจากกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ระบุว่า นี่เป็นครั้งแรกที่รัสเซียล่วงล้ำเข้ามายังน่านฟ้าของเกาหลีใต้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า อากาศยานทางทหารของจีน ก็ได้บินเข้ามาในน่านฟ้าของเกาหลีใต้เช่นกัน


อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการชี้แจงจากรัฐบาลรัสเซียหรือจีนแต่อย่างใด


· นายบอริส จอห์นสัน ถูกคาดว่าจะได้รับการประกาศชื่อเป็นหัวพหน้าพรรค Conservative และนายกรัฐมนตรีอังกฤษภายในวันนี้ หรือประมาณช่วงเช้าของอังกฤษ

ซึ่งเมื่อนายบอริสเข้ารับตำแหน่ง เขาน่าจะผลักดันนโยบาย Brexit ต่อจากนายกรัฐมนตรีคนก่อนโดยทันที ท่ามกลางระยะเวลาที่เหลือไม่ถึง 3 เดือนก่อนถึงเดดไลน์ในวันที่ 31 ต.ค.

· ธนาคาร UBS ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2019 โดยมีผลกำไรที่ 1.4 พันล้านเหรียญ เทียบกับไตรมาสที่ 2/2018 ที่มีผลกำไรที่ 1.29 พันล้านเหรียญ และนับเป็นผลกำไรที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2010 แม้ผลประกอบการของภาคการลงทุนและภาคการบริหารความมั่งคั่งจะไม่ค่อยสดใสก็ตาม

· ทางกระทรวงกลาโหมแห่งรัสเซีย กล่าวปฏิเสธว่าเครื่องบินทิ้งระเบิดของพวกเขาไม่ได้ล่วงล้ำอาณาเขตของเกาหลีใต้แต่อย่างใด พร้อมโต้ว่า เครื่องบินขับไล่ของเกาหลีใต้มีการเคลื่อนไหวที่ดูจะเป็นภัยคุกคามต่ออากาศยานของรัสเซีย

· บรรดานักวิเคราะห์เตือนเกี่ยวกับกรณีความตึงเครียดระหว่างอิหร่าน-สหรัฐฯ ว่าอิหร่านกำลัง “เล่นเกมอันตราย” ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังยับยั้งตัวเองไม่ให้ใช้อำนาจทางการทหาร แต่ทั้งหมดนี้อาจเกิดการเปลี่ยนแปลง หากอิหร่าน “ล้ำเส้น” ที่สหรัฐฯขีดไว้ กล่าวคือ หากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิตเมื่อใด เมื่อนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศก็จะเข้าสู่ภาวะอันตราย

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานที่อาจเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี ยังถูกกดดันจากปริมาณอุปสงค์ที่อ่อนแอ

โดยราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 0.5% ที่ระดับ 63.55 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.4% ที่ระดับ 56.42 เหรียญ/บาร์เรล

นักวิเคราะห์ฝ่ายสินค้าโภคภัณฑ์ประจำ Singapore-based Phillip Futures ระบุว่า ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกที่อ่อนแอลง รวมถึงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น

ขณะที่สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า กำลังติดตามประเด็นความขัดแย้งเกี่ยวกับการขนส่งน้ำมันในอ่าวเปอร์เซีย หลังเกิดเหตุการณ์อิหร่านยึดเรือบรรทุกน้ำมันของอังกฤษในช่องแคบฮอร์มุซ โดยความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและอังกฤษยังคงตึงเครียดอยู่


บริษัท เอ็มทีเอส แคปปิตอล จำกัด
10,12,14 ชั้น 3 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
Copyright © 2014 MTS Capital Co., Ltd. All right reserved