• ตลาดหุ้นเอเชียวันนี้ผันผวน หลังเกิดความกังวลในหมู่นักลงทุนที่มีต่อความไม่ชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และการลงนามถอนตัวออกจากข้อตกลง TPP ของสหรัฐฯ

ขณะที่ดัชนี MSCI’s Asia-Pacific ที่ไม่รวมญี่ปุ่น ปรับตัวสูงขึ้น 0.4%

• ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลงจากความกังวลของกลุ่มนักลงทุนเกี่ยวกับนโยบายกีดกันการค้าของนายทรัมป์ ขณะเดียวกันตลาดก็ได้รับแรงกดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯและทั่วโลกปรับลดลง โดยดัชนี Nikkei225 ปรับตัวลดลง 0.6% สู่ระดับ 18,787.99 จุด

• ตลาดหุ้นจีนวันนี้ทรงตัว โดยดัชนี SCI ปรับขึ้นเล็กน้อย 0.2% ที่ระดับ 3,142.55 จุด ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มบลูชิฟทรงตัวที่ระดับ 3,364.45 จุด เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายที่เบาบางก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของจีน ประกอบกับความกังวลหลังรัฐบาลจีนเผยข้อมูลงบขาดดุลประจำปี 2016 ที่ออกมามากกว่าที่คาดการณ์ไว้

• ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวสูงขึ้น โดยดัชนี HSI ปรับขึ้น 0.2% ที่ระดับ 22,949.86 จุด เนื่องจากผลประกอบการของหุ้นกลุ่มพลังงานที่แข็งแกร่ง หลังการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ส่งผลให้ต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบถูกลง

• ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจของไทยหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมพ์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการนั้น ยังต้องรอพิจารณาในรายละเอียดก่อนสักระยะหนึ่ง เพราะนโยบายสหรัฐต่อประเทศต่างๆ มีความแตกต่างกัน

ส่วนผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนนั้น ยังเป็นปัญหาของทุกฝ่ายที่มีการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เพราะความผันผวนยังคงมีอยู่ และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นในภาวะที่ไม่มีความแน่นอนในเชิงนโยบายของสหรัฐ ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากขึ้น

• กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าการส่งออกของไทยในปี 60 มีแนวโน้มจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปีก่อน และมีโอกาสขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในอัตรา 2.5-3.5% จากปี 59 การส่งออกขยายตัวราว 0.45% โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากราคาน้ำมันดิบที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นแบบช้าๆ ส่งผลให้แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรสำคัญ และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้ ทิศทางค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าแบบค่อยเป็นค่อยไป จะช่วยสนับสนุนให้การส่งออกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เป็นไปอย่างล่าช้า อีกทั้งความไม่ชัดเจนของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันต่อการค้าโลกในระยะต่อไป